กราบสวัสดีแฟนๆชาวโอเวอร์คล๊อกโซนครับ คราวที่แล้วผมก็ได้พูดถึงในเรื่องของไฟล์เพลงดิจิตอลกันไปบ้าง วันนี้ก็มาถึง Digital Audio File Formats #2 ในชื่อตอน "DSD Audio File Making" ซึ่งที่เขียนๆมานั้นก็เป็นเพียงส่วนใหญ่แต่ไม่ทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะว่าเรื่องพวกนี้เขียนกันไปเท่าไรก็เขียนได้ไม่จบไม่สิ้น เอาเป็นว่าโดยสรุปภาพรวมของไฟล์เสียงดิจิตอลกันแบบกำปั้นทุบดิน สั้นๆง่ายๆ ถ้านับตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการนำเสียงจากแหล่งกำเนิดแบบอนาล๊อกมาเข้ารหัสเป็นเสียงแบบดิจิตอลจนถึงปี 2016 ก็จะมีเพียงการเข้ารหัสอยู่สองแบบคือ PCM และ DSD ซึ่งจากบทความคราวที่แล้วก็จะเห็นได้ว่า PCM นั้นอันที่จริงมันมีข้อจำกัดที่ขนาดไฟล์และ Hardware ที่มาแปลงเสียงจากดิจิตอลกลับมาสู่อนาล๊อกซะมากกว่า เพราะตามหลักการมันก็สามารถบันทึกเสียงได้ความถี่และความละเอียดที่สูงเกินกว่าที่หูคนเราจะรับฟังได้ ถ้าเรามาพูดถึงไฟล์เพลงดิจิตอลที่ใช้การเข้ารหัสแบบ DSD ที่มีขายกันเป็นเรื่องเป็นราวก็คงหนีไม่พ้นสื่อบันทึกที่เรียกว่า SACD ที่จะเป็นไฟล์ DSD แบบ 64 หรือ x1 หรือ 2.8224 MHz จากที่ผมศึกษาหลักการของแผ่น SACD และไฟล์เสียงดิจิตอลด้วยการเข้ารหัส DSD ก็สรุปได้สั้นๆได้ใจความว่าไฟล์เสียงดิจิตอลด้วยการเข้ารหัสแบบ DSD นั้นมีมาจากสามประเภทหลักๆ
1.การบันทึกเสียงขึ้นมาใหม่เป็นแบบการเข้ารหัส DSD ที่เราจะเริ่มเห็นกันได้บ้างจากไฟล์เพลง DSD ที่มีให้แจกหรือขายตามเว็บ และแผ่นไฟล์เพลงที่บันทึกใหม่เป็นพิเศษ ที่ผมเห็นอยู่บ้างในเว็บต่างประเทศ
2.การนำมาสเตอร์เทปแบบอนาล๊อกมาบันทึกเป็นไฟล์ DSD อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตกใจนะครับ ถ้าเกิดมาสเตอร์เทปมีการบันทึกคุณภาพเสียงที่ดี แต่ในกรณีที่มาสเตอร์เทปบันทึกมาไม่ดี แถมเก็บรักษาไม่ดีก็ตัวใครตัวมันครับ (อันนี้เคยเจอกับแผ่น SACD บางแผ่น แบบว่าฟังแผ่น CD-Audio ดีกว่ามั๊ย)
3.การนำไฟล์เสียงดิจิตอลมารีมาสเตอร์ใหม่ อาจะมีการรีมาสเตอร์ขึ้นไปในระดับ Hi-Res ของการเข้ารหัส PCM กันก่อน แล้วค่อยเอามารีมาสเตอร์เป็น DSD
จากจุดนี้เป็นจากแนวคิดที่เอามาทดลองทำกันนะครับ ในเมื่อเราก็เป็นคนธรรมดาคนนึง แต่อยากได้ไฟล์เพลงดิจิตอลที่มีคุณภาพดีที่สุดเท่าที่จะสร้างขึ้นมาได้ ในเมื่อแผ่นเสียงไวนิลที่สื่อบันทึกเสียงอนาล๊อกที่ยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้ รวมไปถึงคุณภาพเสียงจากแผ่นไวนิลนั้นยังเป็นที่ยอมรับของวงการเครื่องเสียงว่าคุณภาพเสียงดีที่สุด ทำไมไม่เอาแผ่นเสียงไวนิลมาบันทึกเป็นไฟล์ DSD ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย เดี๋ยวก็ต้องมีคำขึ้นมาแน่นอน ขอถามและตอบตัวเองเลยก็แล้วกัน
คำถาม : ทำไมไม่หามาสเตอร์เทปเอามาบันทึกเสียงเป็นไฟล์เสียง DSD
คำตอบ : ผมไม่ใช่เจ้าของค่ายเพลง จะไปหามาสเตอร์เทปแท้ๆจากไหน ผมก็แค่คนธรรมดาที่ชอบฟังเพลงคนนึงเท่านั้น แถมมาสเตอร์เทปเค้าก็เอามาใช้กัดต้นฉบับที่มาปั๊มแผ่นเสียงอยู่นะ ใช้แผ่นเสียงก็ได้มั้ง
คำถาม : ทำไมไม่เอาแผ่น SACD ซึ่งมันคือไฟล์ที่เข้ารหัสเสียงแบบ DSD 64 หรือ x1 หรือ 2.8224 MHz มาบันทึกเป็นไฟล์ดิจิตอลที่ใช้ในคอมพิวเตอร์
คำตอบ : จะเสียเวลาไปทำอะไร ในเมื่อ SACD มันสามารถใช้เครื่อง PS3 Rev. แรกๆ ที่มีโลโก้ SACD หน้าเครื่อง แล้วเป็น Firmware เดิม หรือ Hack Firmware ก็ Rip ออกมากเป็นไฟล์ ISO ได้แล้ว
คำถาม : ในเมื่อใช้เครื่อง PS3 Rip SACD ได้ไฟล์ ISO ที่ใช้บนคอมพิวเตอร์ได้จะเสียเวลาเอาแผ่นเสียงไวนิลมาบันทึกเป็นไฟล์ DSD ทำไม
คำตอบ : ไฟล์ DSD มาแผ่นมันเป็นเพียง 64 หรือ x1 หรือ 2.8224 MHz ถ้าเอามาบันทึกด้วยเครื่องทำมาสเตอร์เอาแบบที่หาได้ในบ้านเรา มันก็บันทึกเป็นไฟล์ DSD 128 หรือ x2 หรือ 5.6448 MHz ซึ่งมี sampling rate เป็น 128 เท่าของ CD-Audio เลยนะ ถ้าอานาคตมีเครื่องบันทึกมาสเตอร์ที่สามารถบันทึกไฟล์ DSD คุณภาพสูงกว่านี้ ก็แค่เสียเวลามานั่งบันทึกจากแผ่นไวนิลเป็นไฟล์ DSD ใหม่เท่านั้นเอง
อย่างที่ผมได้บอกไปตั้งแต่ตอนต้นว่าไฟล์เสียงดิจิตอลจากการเข้ารหัสแบบ DSD นั้นจะมีสองแบบ DSDIFF นามสกุล DFF และ DSF ซึ่ง DFF เป็นมาตรฐานตั้งต้นของ DSD ที่พัฒนาโดย Philips จากข้อมูลที่ผมได้มานั้นเครื่องเล่นไฟล์ดิจิตอล หรือ โปรแกรมบนคอมพิวเตอร์(ทั้งฟังและนำไปใช้งาน) ที่รองรับไฟล์แต่ไฟล์ DFF อย่างเดียวเท่านั้นก็มีนะครับ ต่อรูปแบบนามสกุลที่สองคือ DSF เป็นมาตรฐานต่อยอดที่พัฒนาโดยทาง SONY หลักๆพื้นฐานของไฟล์นั้นไม่มีความแตกต่างเป็น DSD มาตรฐานเดียวกัน แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือการรองรับในการบันทึก tag ข้อมูลต่างๆแอบพ่วงลงไปในไฟล์เพลงด้วยอีกไม่กี่ bytes เท่านั้น ซึ่งในกรณีใช้งานฟังเพลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่นพกพาน่าจะสะดวกกว่า เพราะมันจะแสดงชื่อเพลง ,นักร้อง ,อัลบัม และ อื่นๆเอาไว้ ส่วนการใช้งานไฟล์ DSD ทั้งสองประเภทจริงๆก็ต้องลองดูว่าอุปกรณ์หรือโปรแกรมนั้นรองรับไฟล์ DSD แบบ DFF หรือ DSF กัน ดูจากขนาดไฟล์แล้วก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ในภาพจะเห็นว่ามันความจุไฟล์ไม่เท่ากัน เพราะว่ามันคือการบันทึกแบบดิบๆ ที่ทำให้มีเวลาที่บันทึกในแทรคนั้นๆแตกต่างกันไปบ้างซัก 1-2 วินาที ก็เลยทำให้ความจุแตกต่างกันเล็กน้อย
จากภาพนี้ในแทรคลำดับที่ 1 และ 3 นั้นจะเป็นไฟล์ DSF ส่วนแทรคลำดับที่ 2 นั้นจะเป็นไฟล์ DFF ที่เราจะเห็นได้ในความแตกต่างว่า DSF จะมี tag ซื่อเพลง ,ชื่อนักร้อง ,ชื่ออัลบัม ,ประเภทของเพลง (ผมไม่ได้ใส่ไว้) ,ลำดับแทรคในอัลบัม และ ปีที่ออกอัลบัม ก็นับว่าสะดวกเพิ่มขึ้นในการใช้งานกับการใช้ไฟล์ประเภท DSF ในการฟังเพลง
ระบบที่ใช้ทำการบันทึกแผ่นเสียงไวนิลมาเป็นไฟล์เสียงดิจิตอลที่มีการเข้ารหัสแบบ DSD จะเป็นการใช้ TASCAM DA-3000 Stereo Master Recorder ที่รองรับการบันทึกไฟล์เสียงแบบเข้ารหัส PCM และ DSD ถัดมากับปรีโฟโนจาก Cambridge Audio ที่รองรับการเชื่อมต่อสายสัญญาณแบบ RCA ส่วนปรีโฟโนอีกตัวที่ใช้จะเป็นแบบ DIY ที่เป็นต้นแบบของผู้ใหญ่ในวงการเครื่องเสียงท่านนึงให้ยืมมาใช้ รองรับการเชื่อมต่อสายสัญญาณแบบ RCA และ XLR ส่วนเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือ Turntable ที่เราใช้เป็นตัวเล่นแผ่นไวนิลจะมีสองตัว ตัวแรกคือ Linn Sondek LP12 จะใช้ในแผ่นไวนิลความเร็ว 33 ส่วนตัวที่สองจะเป็นของ REVOX ใช้ในกรณีแผ่นความเร็ว 45 ในขั้นตอนของการบันทึก เครื่องเสียงไม่จำเป็นอะไรขนาดนั้นขอใหม่มีเสียงพอ เฉพาะฉะนั้นน้องมาร์คนั้นเป็นแอมป์ไว้ประกอบฉากในเวลานี้หรือจะเอาหูฟังหรือลำโพงตัวน้อยๆมาต่อเข้ากับ TASCAM DA-3000 เพื่อให้ได้ยินเสียงขณะเวลาบันทึกด้วยก็แล้วแต่ อันนี้เป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ ขณะบันทึกอย่าเปิดเสียงให้ดังมาก เอาแค่พอได้ยินเท่านั้น เพราะถ้าเสียงดังมันจะส่งผลกระทบต่อเสียงที่บันทึก เนื่องจากความถี่และแรงสั่นทะเทือนจะย้อนกลับมาที่หัวเข็มของเครื่องเล่นแผ่นเสียงได้ เดี๋ยวจะมีคนมาถามว่า TASCAM DA-3000 Stereo Master Recorder ในเมืองไทยมีขายมั๊ย ตอบเลยทันทีว่าซื้อในบ้านเราเนี่ยแหละครับ ถ้าสนใจลองสอบถามจากตัวแทนจำหน่ายดูได้
TASCAM DA-3000 <--- ฺBalanced XLR Cable --- Phono stage preamp <--- XLR or RCA Cable --- Turntable
จริงๆแผ่นเสียงที่จะเอามาบันทึกนั้นว่ากันง่ายๆเป็นเพลงที่อยากฟังในรูปแบบดิจิตอลที่เข้ารหัสเสียงแบบ DSD ตามภาพนี้เป็นแผ่นเสียงไวนิวส่วนนึงน้อยมากถ้าเทียบจากทั้งหมดของพี่ทองดี สำหรับแผ่นที่เราจะมาลองบันทึกกันกันจะเป็นแผ่นเสียงจากค่าย Sheffield Lab (นี่ก็เพียงส่วนนึงจากแผ่นเสียงของค่าย Sheffield Lab ทั้งหมดของพี่ทองดี) ซึ่งแผ่นเสียงค่ายนี้เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม audiophile ที่มีความเป็นธรรมชาติ มีความเป็นดนตรีสูง นิยมไปใช้ในการทดสอบระบบเสียง มีบางแผ่นที่เคยถูกปั่นราคาไปเกือบแสนบาท (ได้ยินราคาแล้วตกใจ ราคาปกเมื่อมันออกมาใหม่ติดไว้พันเดียวเอง) ในภาพนั้นจะมีแต่แผ่นความเร็ว 33 เท่านั้น ส่วนแผ่นความเร็ว 45 ไม่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้ครับ ในเรื่องคุณภาพเสียงที่บันทึกได้นั้นก็บอกตามตรงว่าขึ้นกับคุณภาพของแผ่นด้วย แต่ในกรณีที่ต้นฉบับแผ่นมีการบันทึกเสียงมาดีตอบแบบกำปั้นทุบดินเลย เวลาเราบันทึกออกมาเป็น DSD เสียงยังไงมันก็ดี กรณี Sheffield Lab LAB-2 (Thelma Houston & Pressure Cooker – I've Got The Music In Me) ด้วยแผ่น Direct Cut รหัส LAB-2 เทียบกับแผ่นที่กัดต้นฉบับมาจากมาสเตอร์เทปในรหัส ST-200 บอกเลยว่าบันทึกแล้วฟังเทียบกันคุณภาพเสียงต่างกันบ้าง แต่ไม่ได้ต่างแบบมีสาระสำคัญอะไรมากนัก เอาเป็นว่าขอให้ต้นฉบับที่เอามาทำแผ่นเสียงไวนิลบันทึกเสียงมาดีก็พอ
หลังจากเลือกแผ่นที่จะเอามาบันทึกเป็นไฟล์ DSD ได้แล้ว ก็ทำการจับวางลงบนเครื่องเล่นแล้วก็ยกอาร์มลงเปิดฟังกันก่อน จะเปิดฟังเพื่ออะไรตามลงมาดูภาพถัดไป
ตามขั้นตอนปกติในห้องอัดกันแหละครับ ที่ต้องมีการปรับระดับเสียง เพื่อไม่ให้ระดับเสียงสูงสุดสูงเกินไป ทำให้ไม่สามารถบันทึกรายละเอียดออกมาได้เต็มที่ สมัยก่อนคงต้องดูจากเข็มตี สมัยต่อมาก็ดูจากไฟ LED ในส่วน VU Meter ได้ แต่ TASCAM DA-3000 มีระดับเสียงเป็นตัวเลขบอก จากคำแนะนำของผู้ใหญ่ในวงการ ก็ให้ปรับจนระดับเสียงอยู่ช่วงประมาณ 0db จะเกินมาที่ 1db บ้างก็ได้ แต่อย่าให้นานเกินวินาที ถ้ามันยังเกิน 0db มากไปก็ลดระดับเสียงที่บันทึกลงมา ถ้าแผ่นไหนฟังบ่อยๆอยู่แล้ว ก็เลือกจูนจากแทรคที่เสียงดังที่สุดก็ได้ บอกตามตรงว่าลองผิดลองถูกกันพอสมควรผมนี่ไม่ได้จบหรือเรียนที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการบันทึกเสียงมาซักนิด เรียนจบจิทวิทยามาแต่ชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็กนะครับ
ไฟล์ DSD ที่มีใช้กันและเครื่อง TASCAM DA-3000 สามารถบันทึกได้ จะเป็นไฟล์นามสกุล DIFF และ DSF เดี๋ยวหน้าถัดไปผมจะมาพูดความแตกต่างของทั้งสองนามสกุล
ตั้งประเภทไฟล์ที่จะบันทึกเรียบร้อยแล้ว ก็มาทำการตั้งค่าของแซมปริ้งในการบันทึก ซึ่ง TASCAM DA-3000 ก็รองรับแซมปริ้ง 2.8 และ 5.6 Mhz แน่นอนครับ เอาให้สูงสุดกันไปเลย
หลังจากปรับแต่งเซ็ตค่าที่จะใช้บันทึกเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการอัดเสียงกันได้เลย ใครสงสัยว่าอัดยังไง ก็เหมือนอัดวีดีโอจากทีวี อัดเทปจากวิทยุหรือจากอีกม้วน ไม่รู้เด็กรุ่นใหม่จะทันกันเปล่า ฮ่าๆ โดยการบันทึกก็ต้องบันทึกเป็นเพลงๆไป ถ้าจะเอาให้ใช้งานแบบสะดวกที่สุด ก็ทั้งนั่งฟังนอนดูหัวเข็มกันสนุกสนานพอสมควร แรกๆที่ก็ต้องช่วยกันสองคน พอหลังๆคล่องแล้วทำคนเดียวได้สบายๆ หลังจากที่บันทึกเรียบร้อย ก็นำไฟล์จาก CF หรือ SD ที่ใสในเครื่อง TASCAM DA-3000 ไปเก็บบนคอมพิวเตอร์ เพื่อใส่ชื่อ ใส่ปก ก็แล้วแต่การนำไปใช้งานและความต้องการของผู้ใช้งาน
มาถึงการเทียบความแตกต่างของพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ ทีแรกว่าหน้านี้ไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรกที่จะเขียน แต่พอดีมีโอกาสมีแผ่น CD ,SACD และ LP มาเทียบกันจากเพลงอัลบัมเดียวกัน เดี๋ยวเรามาลองดูกันดีกว่าว่า CD Audio ไฟล์ WAV-PCM เทียบกับ SACD ไฟล์ ISO DSD64 ที่ rip ด้วย PS3 และ แผ่นเสียงไวนิลที่บันทึกเป็น DSD128 ด้วย TASCAM DA-3000 จะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง งานนี้ผมไม่ขอสรุปนะครับ ตัดสินใจว่าอยากจะเลือกชอบแบบไหน
มาถึงตัวอย่างแรกด้วยการ rip จากแผ่น CD AUDIO แผ่นแท้ ที่นายทองดีนั้นให้ผมมาฟัง ด้วยการ rip เป็นไฟล์ wav ที่เข้ารหัสเสียงแบบ PCM ที่ 16 Bit , Sampling Frequencies 44100 Hz และ Bitrate 1411 kbps ตามมาตรฐานของ CD-Audio ซึ่งในอัลบั้มนี้จะมีทั้งหมด 12 แทรก เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 14 นาที 8 วินาที โดยจะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่ 748MB ครับ
มาถึงตัวอย่างที่สองด้วยการ rip โดย PS3 Frimware ตัวแรก จากแผ่น SACD แผ่นแท้ แผ่นนี้เป็นของเพื่อนสนิทผมคนนึง ด้วยการ rip เป็นไฟล์ iso ที่ข้างในมีไฟล์เสียงที่เข้ารหัสเสียงแบบ DSD 64 หรือ x1 หรือ 2.8 Mhz ด้วย Bitrate 5645 kbps ตามมาตรฐานของ SACD ซึ่งในอัลบั้มนี้จะมีทั้งหมด 12 แทรก เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 14 นาที 21 วินาที (แสดงว่าไม่ได้เอามาสเตอร์ PCM ตัวเดียวกับ CD-Audio คงน่าจะเป็นการนำมาสเตอร์เทปมาบันทึกเป็น DSD) โดยจะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่ 2.99GB ครับ
มาถึงตัวอย่างที่สุดท้ายด้วยแผ่นเสียงไวนิลที่บันทึกด้วย TASCAM DA-3000 จากแผ่นไวนิลแบบความเร็ว 45 แผ่นนี้เป็นของพี่ทองดี ด้วยการบันทึกเสียงแบบ DSD 128 หรือ x2 หรือ 5.6 Mhz ด้วย Bitrate 11290 kbps เป็นไฟล์นามสกุล DSF ซึ่งในอัลบั้มนี้จะเป็นแผ่นความเร็ว 45 ทั้งหมดมีสี่หน้า ทำให้ต่อหน้านั้นจะมีเพียงสองแทรคเท่านั้น ยกเว้นแผ่นสองหน้าหลังที่จะมีแทรคเดียว ผมจึงทำการบันทึกเป็นเป็นหน้าๆต่อไฟล์ไปเลยเพื่อความต่อเนื่องไม่มีสะดุด เพราะช่องว่างระหว่างแทรคมันน้อยมากกับอัลบั้มชุดนี้ เท่ากับว่ามีทั้งหมด 7 แทรก เวลาทั้งหมด 47 นาที 33 วินาที โดยจะใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลที่ 3.74GB ครับ ลองสังเกตุดูว่าจำนวนแทรคของ CD-Audio จะมี 12 แทรคเท่ากัน แต่ในเวอร์ชั่น LP 45 Rpm จะมีเหลืออยู่ 7 แทรค
โดย system ที่เข้าใช้ในการทดสอบในการ A/B Testing ระหว่าง PCM 24bit 192kHz และ DSD 128 ครั้งนี้ ด้วยการใช้ Intel NUC เล่นไฟล์เพลงแล้วส่งสัญญาณดิจิตอลผ่านทางสาย USB monster cable เข้าสู่ Fostex HP-A4 DSD DAC ผ่านสาย rca เข้าสู่ preamp Magnet CYGNUS ต่อสัญญาณออกทางสาย XLR เข้าสู่ power Marklevinson No.432 โดยใช้สายลำโพง Kimber Kable 8TC ลำโพงที่ใช้เป็น JBL 4430 Studio Monitor โดยโปรแกรมที่ใช้เปิดไฟล์เพลงคือ FOSTEX Audio Player ในการเล่นไฟล์ DSD นั้นเซ็ตให้เป็นแบบ ASIO Native DSD ส่วนการเล่นไฟล์ PCM จะเป็น ASIO
จากกลุ่มผู้ที่มาร่วม A/B Testing ทำสลับไปมาหลายสิบรอบ โดยมีสักขีพยานที่เข้าร่วมในการทดสอบในครั้งนี้ มีถึง 4-5 คน ซึ่งเป็นนักเล่นระดับพระกาฬในวงการเครื่องเสียงเลยทีเดียว ซึ่งเราขออุบไว้ก่อน รอให้เจ้าตัวนั้นอนุญาติให้เปิดเผยตัวก่อนแล้วจะมาแนะนำกัน โดยการ A/B Testing ระหว่าง PCM และ DSD คะแนนการทดสอบที่ออกมานั้นเป็นไปในทางที่ DSD มีคุณภาพเสียงและรายละเอียดที่ดีกว่า PCM ซึ่งในการ A/B Testing ที่ค่อนข้างหินเพราะใช้ลำโพง JBL 4430 แต่ถ้าใครหูจับผิดหรือฟังเพลงคุณภาพสูงเป็นชีวิตจิตใจมันจังหวะตนตรีขึ้นต้นเพลงมาก็พอเห็นความแตกต่างกันไม่ยาก แต่พอเมื่อเปลี่ยนไปใช้ลำโพงเป็น LS 3/5A ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นลำโพงที่ให้เสียงเที่ยงตรงอีกตัวนึง ก็บอกเลยว่าฟังความแตกต่างได้ง่ายมากแบบไม่ต้องตั้งใจจับผิดอะไรกันมาก
ทีแรกทั้งใจจะเอาไฟล์ที่ทำการ การ A/B Testing มาเทียบความแตกต่างระหว่าง PCM 24bit 192kHz และ DSD 128 เทียบขนาดกัน โดยสัดส่วนความแตกต่างบนพื้นที่ความจุ 1GB เท่ากันนั้น PCM 24bit 192kHz จะบันทึกได้ 13 นาที ส่วน DSD 128 จะบันทึกได้ 11 นาที ก็แตกต่างกันไม่มาก ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมก็ทะลึงเอาไฟล์ DSD 128 ที่บันทึกมาลองแปลงไปเป็นแบบที่สุดของที่สุดในแบบการเข้ารหัส PCM ในระดับ DXD มาเทียบให้เห็นความแตกต่างดูเล่นๆ โดยความยาวของไฟล์เสียงอยู่ที่ 10.07 นาทีเท่ากัน ซึ่ง PCM-WAV ในระดับ DXD ที่ต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูล 2.39GB แต่ถ้าเทียบกับ DSD-DSF ในระดับ 128 หรือ 5.6 Mhz นั้นใช้พื้นที่เพียง 816MB เท่านั้น เริ่มเห็นความน่าสนใจของไฟล์เพลงดิจิตอลในรูปแบบการเข้ารหัส DSD ยัง มันไม่ได้กินพื้นที่น่ากลัวอย่างที่คิดกันเลย
Conclusion !
ก็ยังคงเป็นบทสรุปแบบไม่มีบทสรุปกันเช่นเคย วันนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ทำให้ได้ไฟล์เพลงดิจิตอลแบบคุณภาพสูงด้วยการเข้ารหัสเสียงอนาล๊อกมาสู่ดิจิตอลในรูปแบบของ DSD ซึ่งตามหลักการแล้วมันก็ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าไฟล์เข้ารหัสแบบ PCM อย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริงนั้นก็มีขึ้นกับหลายๆปัจจัยที่ทำให้การฟังเพลงไฟล์ DSD จากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้คุณภาพเสียงที่ดี ในกรณีที่ใช้เครื่องเสียงระดับ Hi-End มันต้องมีการจัดการและการปรับปรุงอุปกรณ์เพื่อให้เสียงออกมาในระดับ Hi-End จริงๆ ซึ่งในภาพจากหน้าอื่นๆที่ผ่านๆมานั้นก็คงจะเห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้รวมไปถึง USB DSD Native DAC นั้นก็ไม่ได้มีราคาสูงมาก เดี๋ยวคราวหน้าผมค่อยๆทะยอยนำเสนอเมื่อมีโอกาสตั้งแต่ Hardware ยัน Software ซึ่งนายทองดีก็เคยนำเสนอไปบ้างแล้วกับ Linear psu กับ mini pc กับชาวโอเวอร์คล๊อกโซนท่านใดใครที่สนใจอยากลองฟังของจริงจาก "คันมือโปรเจค" หรือ "C4A" ต่างๆที่ทางเราเคยได้นำเสนอไป ก็สามารถนัดกันเป็นกลุ่มแล้วติดต่อกับทาง webmaster@overclockzone.com ได้ครับ สำหรับวันนี้ผมก็ต้องขอลากันแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ